กลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

“

ไออาร์พีซี มีความมุ่งมั่นในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ผ่านการลงทุนเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ ส่งเสริมการดำเนินงานเชิงเศรษฐกิจหมุนเวียน และสนับสนุนชุมชน โดยกำหนดเป้าหมายที่ท้าทายและมีการรายงานอย่างโปร่งใส เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ

”

แนวทางบริหารจัดการ

ไออาร์พีซี ตระหนักถึงผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจทั้งหมด บริษัทฯ จึงได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการกำหนด
กลยุทธ์ ทิศทาง ทิศทาง และนโยบายหลักให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งติดตามตัวชี้วัดด้านประสิทธิภาพที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนด เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Reduction Target) และ ดัชนีประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency Index) เป็นตัวชี้วัดสำหรับการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรทุกระดับ ตั้งแต่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ พนักงานสายการผลิต ไปจนถึงสายงานสนับสนุน โดยผลการดำเนินงานจะถูกรายงานต่อคณะกรรมการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ผู้บริหาร และคณะกรรมการบริษัท สำหรับตัวชี้วัดอื่น ๆ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดของหน่วยงานปฏิบัติการ ผลการดำเนินงานจะถูกรายงานต่อ คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืน (Corporate Governance and Sustainability Committee: CGSC), คณะกรรมการจัดการ (Management Committee: MC) และ คณะกรรมการพัฒนาความยั่งยืน (Sustainability Development Committee: SDC) ตามลำดับ

นโยบายและการกำกับดูแลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ไออาร์พีซี ได้กำหนดกรอบการทำงานที่ชัดเจนสำหรับการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกำหนดความรับผิดชอบตั้งแต่ระดับคณะกรรมการไปจนถึงระดับปฏิบัติการ คณะกรรมการได้กำหนดเป้าหมาย ทิศทาง และนโยบายหลักสำหรับการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืน (The Corporate Governance and Sustainability Committee) ร่วมกับคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Committee: RMC) ทำหน้าที่ดูแลและประเมินประสิทธิผลของการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศ ในระดับการจัดการ คณะกรรมการจัดการ (Management Committee: MC) มีหน้าที่กำหนดและทบทวนนโยบาย แนวทาง และเป้าหมายด้านความยั่งยืน ตลอดจนพิจารณานำแนวปฏิบัติที่อิงตามคำสั่งของคณะกรรมการไปปฏิบัติ โดยให้คณะกรรมการพัฒนาความยั่งยืน (SDC) จัดทำรายงานผลการดำเนินงานทุกไตรมาสให้กับคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืน

เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการ SDC ได้มอบหมายให้ฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืนดำเนินการริเริ่มที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าเป็นประจำให้ SDC ทราบเพื่อปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังปรับปรุงการจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศด้วยการบูรณาการตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศเข้ากับกรอบตัวชี้วัดผลการดำเนินงานขององค์กร เพื่อให้แน่ใจว่ามีผู้รับผิดชอบในทุกระดับ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่จะรับผิดชอบตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการลดก๊าซเรือนกระจกและความเข้มข้นของพลังงานในขณะที่ผู้บริหารแต่ละหน่วยงานจะได้รับมอบหมายตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การประเมินผลงานและการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับทั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่และผู้บริหารนั้นเชื่อมโยงกับการบรรลุตัวชี้วัดผลการดำเนินงานเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืนและส่งเสริมความคิดที่ใส่ใจสภาพภูมิอากาศทั่วทั้งองค์กร

คณะกรรมการการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDC)ดาวน์โหลด

บริษัทฯ ได้กำหนดนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศ โดยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20 ภายในปี 2573 จากระดับพื้นฐานในปี 2561 ที่ 4.18 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2603

นโยบายดังกล่าวมุ่งเน้นที่การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ประสิทธิภาพเชิงนิเวศ และเศรษฐกิจหมุนเวียน ขณะเดียวกันก็นำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ และผสานรวมเทคโนโลยีนวัตกรรม นอกจากนี้ ยังเน้นที่การทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การสร้างความตระหนักรู้ในหมู่พนักงานและพันธมิตร และการตรวจสอบที่โปร่งใส เพื่อรับประกันความรับผิดชอบและความก้าวหน้าที่วัดผลได้

นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศดาวน์โหลด

กลยุทธ์และเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บริษัทฯ ดำเนินงานเชิงรุกเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2603 ผ่านกลยุทธ์ ERA ดังนี้

การจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลการดำเนินงาน

การนำกลยุทธ์ ERA ไปปฏิบัติ

การดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี (E : Eco-Operation and Technology)

ดัชนีความเข้มข้นของการใช้พลังงาน: 82.67% EII
การประหยัดพลังงาน: 296,391 กิกะจูล
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: 155,890 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

โครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

บริษัทฯ พัฒนาประสิทธิภาพของการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่องในกระบวนการผลิต เพื่อใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีคุณค่าที่สุดในขณะที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความมุ่งมั่นพัฒนาดังกล่าวหมายรวมถึงการพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารจัดการความร้อนและไอน้ำ ลดการใช้ไฟฟ้า เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์และเข้าร่วมโครงการกับกลุ่ม ปตท.

บริษัทฯ ได้ริเริ่ม 2 โครงการที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม 2 แบบที่มีเป้าหมายเพื่อประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โครงการดังกล่าวได้แก่ โครงการควบคุมการปฏิบัติการและโครงการพัฒนากระบวนการ

โครงการควบคุมการปฏิบัติการ หมายรวมถึงการลดการใช้ไฟฟ้า การลดการสูญเสียความร้อนภายในและลดความต้องการการใช้ไอน้ำในกระบวนการผลิต
โครงการพัฒนากระบวนการ หมายรวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์และการพัฒนาเครื่องผลิตไฟฟ้า

โครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ

ในโครงการนี้ แผงพลังงานแสงอาทิตย์ในบ่อน้ำดิบสำรอง 3, 4 และ 5 มีพื้นที่โดยประมาณ 74, 61 และ 65 ไร่ ตามลำดับ มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 12.5 เมกะวัตต์ และ 8.5 เมกะวัตต์ ซึ่งไฟฟ้าที่ผลิตได้เป็นไฟฟ้ากระแสตรงและใช้อินเวอเตอร์มาแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับและส่งไปยังหม้อแปลงไฟฟ้าเพื่อทำการเพิ่มแรงดันไฟฟ้าจากแรงดันต่ำให้เป็นแรงดันไฟฟ้าสูงขนาด 6.6 กิโลโวลต์ และผ่านมิเตอร์ไฟฟ้าไปยังระบบจ่ายไฟฟ้าของโครงการเพื่อจ่ายไฟให้กับโรงงานในเขตประกอบการอุตสาหกรรมไออาร์พีซี โดยดำเนินการ 24 ชั่วโมงต่อวันตลอดระยะเวลาของโครงการ 25 ปี อย่างไรก็ตาม แผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่โครงการเลือกใช้มีอายุการใช้งานประมาณ 30 ปี

โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยขนาด 12.5 เมกะวัตต์ ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณและใบรับรององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแห่งประเทศไทย ในโครงการ TVER รวมถึงได้ลงทะเบียนกับ TVER โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ย 9,459 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ระหว่างช่วงการคำนวณคาร์บอนเครดิต 7 ปีนับจากวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570

IRPC’s 12.5 MW Solar Floating Plant was awarded the Thailand Voluntary Emission Reduction (T-VER) certificate by the Thailand Greenhouse Gas Management Organization (TGO). The project is registered as a T-VER project and is expected to reduce greenhouse gas emissions by an average of 9,459 tons of CO2 equivalent per year over the 7-year carbon credit calculation period from January 1, 2021 to December 31, 2027.

การเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (R: Reshaping Portfolio)

ความก้าวหน้าโครงการ: 100%
การลงทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์องค์กร: 70 คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์องค์กร

ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

บริษัทฯ มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สร้างโอกาสทางธุรกิจ และทำให้บริษัทฯ สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อที่จะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

บริษัทฯ ตระหนักดีถึงความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมของผู้ใช้บริการ เราจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังต่อไปนี้

POLIMAXX Green ABS ผลิตภัณฑ์นี้ใช้ยางสังเคราะห์มาแทนยางจากธรรมชาติ การใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
POLIMAXX Green PS ผลิตภัณฑ์นี้ถือเป็นนวัตกรรมที่ทำจาก Styrene ร้อยละ 20-50 ผสมกับยางธรรมชาติ การพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้เป็นโครงการร่วมระหว่างบริษัทฯ และพันธมิตร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตกรวยจราจรที่ทำมาจากยางพลาสติกที่สามารถลดการใช้ยางสังเคราะห์ได้ถึงร้อยละ 30 กรวยจราจรใหม่นี้มีความแข็งแรงทนทาน ยืดหยุ่นได้ดี และทนต่อแรงกระแทกได้
POLIMAXX พลาสติกไม้ เป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ทำจากขี้เลื่อยจึงมีลักษณะที่ยอดเยี่ยมของพลาสติกและไม้รวมกัน บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้บรรจุของและทำเฟอร์นิเจอร์ ในส่วนของการทำผลิตภัณฑ์บรรจุของนั้นได้ผ่านมาตรฐานกฎระเบียบว่าด้วยวัสดุสัมผัสอาหารของสหภาพยุโรปแล้ว
POLIMAXX เม็ดสีผสมจากธรรมชาติ ถือว่าเป็นพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ พัฒนาผลิตภัณฑ์นี้โดยการผสมพลาสติกกับสารสกัดสีธรรมชาติแทนที่จะเป็นสีสังเคราะห์ วิธีการดังกล่าวไม่ได้ทำให้คุณลักษณะเฉพาะของพลาสติกเสียไป และอยู่ในความควบคุมมาตรฐานระดับนานาชาติ ปัจจุบันมีสี 3 สี ได้แก่ สีเขียวจากผักโขม สีแดงจากครั่ง มะเขือเทศ และสตรอว์เบอร์รี สีเหลืองจากขมิ้น พริกหยวก หรือแคร์รอตผลิตภัณฑ์นี้ถือเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและความปลอดภัยที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
ผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากกำกับการช่วยลดคาร์บอน (HDPE, PP, PS และ ESP) ซึ่งหมายรวมถึงผลิตภัณฑ์หลายอย่าง เช่น ถุงพลาสติก อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ฉนวนกันความร้อน บริษัทฯ พัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้โดยมุ่งเน้นให้ช่วยประหยัดพลังงานและช่วยลดการเกิดปฏิกิริยาเคมีในกระบวนการผลิตและตีตราว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดคาร์บอน
แก๊สโซฮอล์
ไบโอดีเซล
RMAXX L ซีเมนต์ เป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกที่รวมกับซีเมนต์เพื่อที่จะให้แข็งตัวได้ง่ายและรวดเร็ว
Polystyrene ชีวภาพ เป็นส่วนผสมของพลาสติก Polystyrene และแป้ง
P301K เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตแผ่นพลาสติกของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยที่ใช้ HDPE จำนวนน้อย
ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลิสไตรีนที่ขยายตัวได้ (EPS) ผลิตโดยใช้สไตรีนโมโนเมอร์ และเพนเทนเป็นสารขยายตัว
โดยไม่มีการใช้สาร CFC ที่ทำลายโอโซนในกระบวนการนี้

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์องค์กร (Carbon Footprint of Products: CFP)

บริษัทฯ ได้ทำการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์เพื่อยื่นขอขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะทำให้สามารถติดฉลากได้อย่างโปร่งใส ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรอบรู้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ โดยแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในปี 2567 ผลิตภัณฑ์ 3 รายการบริษัทฯ ได้แก่ เม็ดพลาสติกโพลิสไตรีน เม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีนผสม และเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีน ได้รับการรับรอง “คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์องค์กร (Carbon Footprint of Product: CFP)” จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ได้สำเร็จ

การดูดซับและการชดเชยคาร์บอน (A: Absorption and Offsetting)

การศึกษาโครงการเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน: 100% vs plan
โครงการปลูกป่าทดแทน: 12,106 Rais

โครงการปลูกป่าทดแทน

โครงการปลูกป่าทดแทนนี้มีเป้าหมายที่จะขยายพื้นที่ป่าในที่ดินของกลุ่ม ปตท. อีก 2 ล้านไร่ โดยร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งเสริมให้ป่ามีบทบาทในการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น และส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นปกป้องและดูแลรักษาป่า ซึ่งจะช่วยลดภาวะโลกร้อน ลดการเกิดไฟป่า และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบ

1.โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง

บริษัทฯร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และอีก 13 บริษัทพันธมิตร ดำเนินโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่า เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้ พ.ร.บ.ป่าชุมชน ปี 2562 ที่อนุญาตให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์จากป่าได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ตามหลักแนวคิดว่าชุมชนมีกลไกที่เข้มแข็งในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นเรื่องของ Co-Benefits (ผลประโยชน์ร่วมกับชุมชน) ทางมูลนิธิไม่เพียงแต่คำนึงถึงป่าไม้ แต่คำนึงถึงความเป็นอยู่ของชุมชนและความหลากหลายเชิงชีวภาพด้วย

ในการดำเนินโครงการฯ เจ้าหน้าที่โครงการจะลงพื้นที่ป่าชุมชนเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน สร้างองค์ความรู้ด้านการวัดแปลงป่าตามหลักวิชาการเพื่อการกักเก็บคาร์บอนเครดิต ด้านพัฒนาอาชีพ รวมทั้งด้านการบริหารกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสร้างแรงจูงใจจากการป้องกันไฟป่า นอกจากนี้ โครงการยังจัดทำแนวกันไฟป่า จัดทำระบบติดตามสถานการณ์ไฟป่าอย่างใกล้ชิดร่วมกับ GITSDA และจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างจิตสำนึกให้เยาวชนและชุมชนโดยรอบรักและดูแลป่า พร้อมสร้างรายได้จากผลผลิตจากป่า เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและป่าไม้อย่างยั่งยืน โดยในเฟสระยะปี 2566-2568 นี้ บริษัทฯได้ร่วมโครงการจำนวน 20,000 ไร่ ในพื้นที่ 5 จังหวัด คือ เชียงราย เชียงใหม่ อำนาจเจริญ ยโสธร และปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียน TVER ครบแล้ว และในเฟสระยะปี 2567-2569 บริษัทฯ ได้ร่วมโครงการจำนวน 10,000 ไร่ ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ ลําปาง เชียงใหม่ เชียงราย และน่าน โดยได้คัดเลือกชุมชนทั้งหมด 142 ชุมชน คิดเป็นพื้นที่โครงการที่มีศักยภาพ 112,721.2 ไร่ ที่มีสิทธิ์ขึ้นทะเบียน T-VER ในเดือนธันวาคม 2567 และในเดือนพฤศจิกายนทีมงานโครงการได้ลงพื้นที่จังหวัดน่าน เพื่อแลกเปลี่ยนกลยุทธ์การมีส่วนร่วมของชุมชน และโครงการรักษาพื้นที่ป่าพร้อมปลูกกาแฟ การเข้าถึงนี้เพื่อมุ่งเน้นการแก้ปัญหาการบุกรุกป่าเพื่อเป็นพื้นที่ทำกินไปพร้อมกับการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของชุมชนใกล้เคียง

2.โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าร่วมกับกรมป่าไม้

บริษัทฯ ร่วมมือกับกรมป่าไม้ ดำเนินโครงการปลูกป่าทดแทนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พื้นที่ 2,000 ไร่ มีการปลูกป่าไปแล้วร้อยละ 60 นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลนในพื้นที่จังหวัดสตูล พื้นที่ 106.5 ไร่ ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งโครงการนี้ประสบความสำเร็จด้วยอัตราการปลูกป่าร้อยละ 80 โดยมีทีมงานเฉพาะกิจคอยติดตามความคืบหน้าของโครงการและมีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่นเพื่อสร้างความตระหนักและความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของการอนุรักษ์ป่า

ด้วยความมุ่งมั่นและการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงประสบความสำเร็จหลายประการในปี 2567 ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงน้ำใจในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

การขอหนังสือรับรองการจัดการการปล่อยคาร์บอน

บริษัทฯ มีเจตนารมณ์ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยและระดับสากลจากการประชุมภาคีตามอนุสัญญาสหประชาชาติ โดยได้ดำเนินการขอรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO) คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์องค์กร (CFP) และการขอรับรองฉลากลดคาร์บอน (Carbon Reduction Label) เพื่อจัดการการลดปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายทรัพยากร และสร้างโอกาสใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ

บริษัทฯ ได้เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) ต่อเนื่อง ซึ่งดำเนินการโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในงบสนับสนุนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร เช่น การใช้ไฟฟ้า การจัดการของเสีย และการขนส่ง

บริษัทฯ นำแพลตฟอร์ม Carbon Footprint for Organization (CFO) ที่พัฒนาโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. มาใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ แพลตฟอร์มนี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการประเมิน CFO ได้อย่างแม่นยำ สะดวก และรวดเร็ว ตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ตรวจสอบข้อมูล (Verifiers) สามารถตรวจสอบบนแพลตฟอร์มได้ นอกจากนี้ อบก. ยังสามารถตรวจสอบและสื่อสารข้อมูลการดำเนินงานกับองค์กรที่จัดทำรายงานและหน่วยงานตรวจสอบในทุกขั้นตอนผ่านแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถวางแผนการลดก๊าซเรือนกระจกและดำเนินการตามเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การกำหนดราคาคาร์บอนที่ใช้ภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing)

เพื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายในการปล่อยคาร์บอนรวมกับการตัดสินใจอื่น ๆ ของบริษัทฯ จึงมีการนำแนวคิดการกำหนดราคาคาร์บอนในองค์กร หรือ Internal Carbon Price (ICP) มาใช้ประกอบการตัดสินใจการดำเนินการโครงการต่าง ๆ และการลงทุนหรือที่เรียกว่า ราคาเงา (Shadow Price) มาใช้เพื่อพิจารณาการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ควบคู่กับหลักเกณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ เช่น อัตราผลตอบแทนภายใน หรือ Internal Rate of Return (IRR) ตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งบริษัทฯ ได้กำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร ณ ระดับราคา 90 เหรียญสหรัฐต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือ 3,060 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแนวทางโครงการเสริมความรู้ภาคอุตสาหกรรม ด้านการกำหนดราคาคาร์บอนและการลงทุนเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งแนะนำโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ร่วมกับธนาคารโลก โครงการมากกว่า 12 โครงการได้ใช้ราคาเงาในการกำหนดราคา เช่น โครงการ Floating Solar Phase II 9.0 MW for PP Plant, VDU Heater Energy Efficiency Improvement for Lube Plant, Meltblown Expansion Project for Polypropylene, Global Hygiene: Spun bond Expansion Project for Polypropylene

ในขณะเดียวกันต้นทุนแฝงก็สะท้อนให้เห็นจากการลงทุนของบริษัทในกิจกรรมจิตอาสาที่มีเป้าหมายเพื่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น การติดตั้งแผงโซลาเซลล์เพื่อการสูบน้ำ และอุปกรณ์อื่น ๆ ในการพัฒนาการทำฟาร์มอัจฉริยะในหมู่บ้านหนองยาง จังหวัดบุรีรัมย์ ศูนย์พัฒนาคนพิการ หมู่บ้านศรีวัฒนา จังหวัดอุดรธานี เป็นต้น

สรุปผลการดำเนินงานในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

บริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่ให้เกิน 155,890 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2567 โดยผลการดำเนินงานของปีนี้สะท้อนถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 140,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย เป็นผลมาจากโครงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และการริเริ่มพัฒนาด้านกระบวนการต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จ

การประเมินความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บริษัทฯ ได้บรรจุความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศในพอร์ตโฟลิโอความเสี่ยงของบริษัทฯ โดยจัดลำดับความสำคัญผ่านตัวชี้วัดการประเมินความเป็นไปได้ของความเสี่ยงที่จะสัมผัส และมิติของผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แนวทางนี้ทำให้แน่ใจได้ว่าบริษัทฯ ได้พัฒนาพอร์ตโฟลิโอความเสี่ยงโดยคำนึงถึงผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล บริษัทฯ ในทุกปี บริษัทฯ มีการประเมินความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการวิเคราะห์ความไว เพื่อประเมินโครงการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายและการลดก๊าซเรือนกระจก

บริษัทฯ ได้ใช้หลักเกณฑ์ในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นหลักเกณฑ์เดียวกันกับคำแนะนำของคณะกรรมการการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD) ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และแนวทางการรายงานดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) นอกจากนี้บริษัทฯ ยังดำเนินการจัดทำรายงานความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องกับมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ IFRS S2 (มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ)

การวิเคราะห์ของเราบ่งชี้ว่าธุรกิจของบริษัทฯ อาจเผชิญกับผลกระทบทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากความเสี่ยงดังนี้

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ระบุถึงโอกาสที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายระดับโลกในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิให้ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีต่อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) บริษัทฯ คาดว่าการเพิ่มขึ้นของการซื้อรถยนต์ใหม่ ซึ่งขับเคลื่อนโดยนโยบายของรัฐบาลและแรงจูงใจในการส่งเสริมการผลิตและการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ จะส่งผลให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เช่น สารประกอบโพลีโพรพิลีนและคอมโพสิต ซึ่งใช้ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ทั้งภายในและภายนอกเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ความต้องการในการผลิตแบตเตอรี่จะผลักดันให้มีความต้องการอุปทานอะเซทิลีนเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาถึงโอกาสเหล่านี้ บริษัทฯ คาดการณ์ว่ากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ของบริษัทฯ อาจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 0.43 ภายในปี 2573

ฉากทัศน์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

จากการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาส บริษัทฯ ได้คาดการณ์สถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น 2 สถานการณ์ ดังนี้

บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ (Solar Floating Project) การกำหนดราคาคาร์บอนภายใน (Internal Carbon Pricing) และความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon-Neutral) เน้นที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ โดยการรีไซเคิลขยะพลาสติกจากอุตสาหกรรมร่วมกับพันธมิตร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังตั้งเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20 ภายในปี 2573 โดยมีเป้าหมายระยะยาวที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเป็นศูนย์ภายในปี 2603

สิ่งจูงใจในการจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ ไออาร์พีซีได้กำหนดให้มีการบูรณาการตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศเข้าไปในกรอบตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน (KPI) ขององค์กร โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ จะมีความรับผิดชอบโดยตรงในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศ ผ่านตัวชี้วัดองค์กร (KPI) ที่เกี่ยวข้องกับ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG emissions), พันธสัญญาสู่ Net Zero และ ดัชนีความเข้มการใช้พลังงาน (Energy Intensity Index)

แนวทางการบริหารเชิงบนลงล่าง (Top-down Approach) จะถูกถ่ายทอดไปยังทุกระดับขององค์กร โดยผู้บริหารในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้รับมอบหมายตัวชี้วัดเฉพาะด้าน เช่น เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซ และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อสร้างความรับผิดชอบในทุกระดับ ทั้งนี้ ตัวชี้วัดของแต่ละหน่วยงานจะสอดคล้องกับเป้าหมายองค์กรโดยรวม และสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของไออาร์พีซี

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เชื่อมโยงการประเมินผลการปฏิบัติงานและค่าตอบแทนของผู้บริหารเข้ากับความสำเร็จตามตัวชี้วัดด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในการลดความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ

องค์ประกอบหลักของโครงสร้างแรงจูงใจ มีดังนี้

ตัวชี้วัดระดับองค์กร: การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG emissions), พันธสัญญาสู่ Net Zero, และดัชนีความเข้มการใช้พลังงาน (Energy Intensity Index)
ตัวชี้วัดระดับหน่วยงาน: เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซ และการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency Improvements)
การประเมินผลและค่าตอบแทน: เชื่อมโยงกับความสำเร็จตามตัวชี้วัดด้านสภาพภูมิอากาศ
วัฒนธรรมองค์กร: สร้างค่านิยมและพฤติกรรมที่ใส่ใจต่อสภาพภูมิอากาศ

แนวทางนี้ จะช่วยให้ไออาร์พีซีบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืน และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต