Skip to main content

การบริหารความเสี่ยงและการจัดการภาวะวิกฤต

แนวทางบริหารจัดการ

ส่วนบริหารความเสี่ยงองค์กรอยู่ภายใต้ฝ่ายแผนกลยุทธ์และความยั่งยืน (Strategic Planning & Sustainability) ซึ่งเป็นอิสระจากหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งหมด และกำกับดูแลโดยคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน (Risk Management and Internal Control Committee: RMCC) ซึ่งประกอบด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง และคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Committee: RMC) ซึ่งเป็นคณะกรรมการบริษัท ส่วนบริหารความเสี่ยงองค์กรมีหน้าที่วิเคราะห์ ติดตาม และรายงานความคืบหน้าและผลการบริหารความเสี่ยงองค์กร (Enterprise Risk Management: ERM)

คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน และ คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง มีประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และกรรมการอิสระเป็นประธานคณะ ตามลำดับ เพื่อกำกับดูแลให้การบริหารความเสี่ยงองค์กรมีประสิทธิภาพ โดยจะต้องมีการรายงานผลการบริหารความเสี่ยงองค์กรทุกไตรมาส การบริหารความเสี่ยงองค์กรช่วยให้บริษัทฯ สามารถประเมินและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่มุ่งหวังให้บรรลุวัตถุประสงค์ของบริษัท ทั้งนี้ หน้าที่ความรับผิดชอบและกรอบการดำเนินงานของหน่วยงานภายใต้โครงสร้างการบริหารความเสี่ยง มีดังนี้

ระบบการบริหารความเสี่ยงถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร โดยบริษัทฯ ได้กำหนดโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน รวมถึงบทบาทและความรับผิดชอบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบริษัทมีขั้นตอนการควบคุมความเสี่ยงภายในที่สอดคล้องกับกฎระเบียบที่มีอยู่ และครอบคลุมทั้งการกำกับดูแลความเสี่ยง ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมด้านความเสี่ยง โดยบทบาทและความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายมีดังนี้

การกำกับดูแลและบริหารจัดการความเสี่ยงองค์กร

  • คณะกรรมการบริษัท (Board of Directors) มีหน้าที่กำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ด้านการบริหารความเสี่ยง และตรวจสอบให้มั่นใจว่าการบริหารความเสี่ยงถูกดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการทบทวนระบบการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายในของบริษัทและบริษัทย่อยเป็นรายไตรมาส
  • คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Management Committee: RMC) มีหน้าที่กำหนดนโยบาย แผนงาน และกระบวนการบริหารความเสี่ยงของบริษัทให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ที่คณะกรรมการบริษัทกำหนด นอกจากนี้ RMC ยังรับผิดชอบในการรายงานสถานะการดำเนินงานด้านการบริหารความเสี่ยงต่อคณะกรรมการบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยมีประธาน RMC ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงที่ดูแลด้านการบริหารความเสี่ยงโดยตรง
  • คณะกรรมการกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน (Risk Management and Internal Control Steering Committee: RMCC) มีหน้าที่กำกับติดตามและสร้างความมั่นใจในประสิทธิภาพของระบบการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายในโดยรวม
  • ทีมบริหารความเสี่ยง (Risk Management Team) มีหน้าที่ประสานงานและดำเนินกระบวนการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร รวมถึงให้คำปรึกษาและแนวทางเกี่ยวกับความเสี่ยงหลากหลายประเภท (รวมถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่) อีกทั้งยังสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ โดยการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจ รวมถึงจัดการอบรมให้แก่พนักงาน

การตรวจสอบและติดตามความเสี่ยงองค์กร

ไออาร์พีซีมุ่งมั่นให้การบริหารความเสี่ยงของบริษัทดำเนินไปตามแผนธุรกิจด้านการบริหารความเสี่ยง เพื่อป้องกันหรือบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อธุรกิจให้อยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ โดยบริษัทฯ ได้กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบของ คณะกรรมการตรวจสอบ และ สำนักตรวจสอบภายในองค์กร ในการติดตามและทบทวนการบริหารความเสี่ยงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบการตรวจสอบภายในของบริษัทฯ โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • คณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) มีหน้าที่กำกับดูแลและติดตามการบริหารความเสี่ยง โดยการทบทวนอย่างอิสระผ่านการรับรายงานหรือผลการตรวจพบด้านการบริหารความเสี่ยงจากสำนักตรวจสอบภายในองค์กร เพื่อให้มั่นใจว่าการบริหารความเสี่ยงดำเนินไปตามนโยบายและมีประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร
  • สำนักตรวจสอบภายในองค์กร (Office of Corporate Internal Audit) มีหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบอิสระและติดตามประสิทธิผลของระบบการควบคุมภายใน รวมถึงการบริหารความเสี่ยงในระดับปฏิบัติการ โดยมี รองประธานอาวุโสของ IRPC ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารสูงสุดของสำนักตรวจสอบภายในองค์กร ซึ่งรับผิดชอบโดยตรงในการติดตามและตรวจสอบการบริหารความเสี่ยงในระดับปฏิบัติการ

ระบบและกระบวนการในการบริหารจัดการความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กรของไออาร์พีซีแบ่งออกเป็น 2 ระดับที่มีความเชื่อมโยงกัน ได้แก่ ระดับองค์กรและระดับหน่วยงาน โดยมีโครงสร้างการกำกับดูแลจากบนลงล่างคือระดับองค์กรสู่ระดับหน่วยงาน ดังนี้

ขอบเขต
นิยาม

กระบวนการบริหารความเสี่ยงรายปีประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ประกอบด้วย (1) การสื่อสารและให้คำปรึกษา,
(2) การกำหนดพันธกิจ, (3) การกำหนดบริบท, (4) การประเมินความเสี่ยง, (5) การจัดการความเสี่ยง, (6) การติดตามและทบทวน และ (7) การบันทึกและรายงาน

โดยไออาร์พีซีกำหนดให้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ประเมินความเสี่ยงและวางแผนบรรเทาความเสี่ยงขึ้นอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการติดตามและทบทวนผลการประเมินความเสี่ยงในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับหน่วยงาน บริษัทย่อย หน่วยธุรกิจ และองค์กร

กระบวนการและการกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยงดาวน์โหลด
(1) การสื่อสาร และให้คำปรึกษา

องค์กรจัดให้มีการสื่อสารเรื่องการบริหารความเสี่ยงผ่านโครงสร้างตามรูป โดยการสื่อสาร และให้คำปรึกษามีเป้าหมายดังนี้

  1. สร้างความเข้าใจ และตระหนักถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง
  2. ทำให้มั่นใจว่าพันธกิจ เป้าหมาย และกลยุทธ์มีความเหมาะสมกับแนวโน้ม และปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญ
  3. ช่วยให้การกำหนดบริบทมีความเหมาะสม
  4. ช่วยให้มั่นใจว่ามีการชี้บ่งความเสี่ยงอย่างเพียงพอ
  5. มั่นใจว่ามีการพิจารณามุมมองที่แตกต่างในการกําหนดเกณฑ์ความเสี่ยง และการประเมินผลความเสี่ยง
  6. เกิดการเห็นชอบ และสนับสนุนมาตรการจัดการความเสี่ยง
  7. ส่งเสริมการบริหารความเปลี่ยนแปลงอย่างเหมาะสมในกระบวนการบริหารความเสี่ยง

เป็นการสื่อสารและให้คำปรึกษาแบบสองทาง ผ่านการสอบทานแผน, การรายงาน, และทบทวนผลการบริหารความเสี่ยง รวมถึงกิจกรรม และการฝึกอบรม ที่ส่งเสริมการบริหารความเสี่ยง ทั้งในระดับผู้ปฎิบัติการ และระดับผู้บริหาร

(2) การกำหนดพันธกิจ

การบริหารความเสี่ยงจำเป็นต้องมีความเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดพันธกิจองค์กร เพื่อช่วยให้ผู้รับผิดชอบความเสี่ยงสามารถประเมินความเชื่อมโยงระหว่างเป้าหมายองค์กร ขอบเขต กลยุทธ์ และเป้าหมายทางธุรกิจได้ โดยพันธกิจนี้จะถูกใช้ในการกำหนดทิศทางของกลยุทธ์ขององค์กรนี้ในลำดับต่อไป ตามตัวอย่าง

อย่างไรก็ตามกรณีที่บางองค์กรอาจไม่มีการกำหนดพันธกิจที่เป็นรูปธรรม หรือเป็นการนำการบริหารความเสี่ยงไปประยุกต์ใช้ในระดับหน่วยงาน อาจใช้วัตถุประสงค์หน่วยงาน (Main Purpose) จากเอกสารใบพรรณนาหน้าที่หน่วยงาน (Functional description) อ้างอิงสำหรับการกำหนดพันธกิจได้

(3) การกำหนดบริบท

การกำหนดบริบท เป็นการประเมินปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกับวัตถุประสงค์หรือพันธกิจ เพื่อนำไปประเมิน ผลกระทบ และความเป็นไปได้ ของเหตุการณ์ต่างๆ การกำหนดบริบทเป็นการสำรวจปัจจัยต่างๆ ที่อาจกระทบต่อบริษัท ซึ่งจะเป็นขั้นตอนที่เชื่อมโยงไปสู่ขั้นตอนการประเมินความเสี่ยง การกำหนดบริบท ประกอบด้วย

  • ปัจจัยภายนอก (External Context) เป็นปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เช่น สถานการณ์เศรฐกิจ ความขัดแย้งทางการเมือง ผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เป็นต้น ปัจจัยแต่ละปัจจัยมีลักษณะต่างกัน โดยปัจจัยที่สนับสนุนกลยุทธ์คือ โอกาส (Opportunity) และปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อกลยุทธ์คือ ภัยคุกคาม (Threat).
  • ปัจจัยภายใน (Internal Context) เป็นปัจจัยยที่เกิดขึ้นภายในบริษัท เช่น สภาพการเงินของบริษัท กลยุทธ์ของบริษัท เป็นต้น ปัจจัยที่สนับสนุนกลยุทธ์คือจุดแข็ง (Strength) และปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อกลยุทธ์คือ จุดอ่อน (Weakness)

การระบุปัจจัยแวดล้อมและปัจจัยภายใน สามารถทำได้จากหลายเครื่องมือ เช่น PESTEL Analysis , 7S Mchinsey , SWOT Analysis, TOWS Matrix และหรือ Five Forces Analysis โดยองค์กรได้แสดงประเภทปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก โดยได้มีการกำหนดเพื่อให้สอดคล้องกับหลัก ESG

การกำหนดปัจจัยภายในและภายนอก ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ปัจจัยที่เกิดขึ้นแล้ว หรือปัจจัยอันใกล้ แต่ยังรวมไปถึงอนาคตข้างหน้าด้วย เนื่องจากอาจมี ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risk) เช่น กฎหมายใหม่ในประเทศ หรือ อุปสงค์อุปทาน ของน้ำมันดิบในอนาคต ซึ่งองค์กรควรรับรู้ถึงปัจจัยเหล่านี้ เพื่อเตรียมการล่วงหน้า ถึงผลกระทบเหล่านี้

องค์กรควรตระหนักถึงปัจจัยเหล่านี้เพื่อเตรียมความพร้อมล่วงหน้าในการรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

(4) การประเมินความเสี่ยง

การประเมินความเสี่ยงประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ประกอบด้วย (4.1) การระบุความเสี่ยง (Risk Identification) (4.2) การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis) และ (4.3) การประเมินความเสี่ยง (Risk Evaluation) การประเมินความเสี่ยงช่วยให้องค์กรสามารถระบุความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์และวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ อีกทั้งยังเชื่อมโยงไปสู่กระบวนการกำหนดมาตรการจัดการความเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยการประเมินความเสี่ยงจะดำเนินการอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นตามความเหมาะสม เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามีแนวทางการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมและทันต่อสถานการณ์

การระบุเหตุการณ์ความเสี่ยง (Risk event identification)

การระบุเหตุการณ์ความเสี่ยง (Risk event identification) ดำเนินการโดยพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อ ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ (Critical Success Factors: CSFs) ซึ่งเป็นปัจจัยที่จำเป็นต่อความสามารถขององค์กรในการดำเนินกลยุทธ์หรือบรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ

ในขั้นตอนการระบุเหตุการณ์ความเสี่ยงนี้ ควรใช้ การคิดแบบหลากหลาย (Divergent Thinking) เพื่อให้สามารถมองมุมกว้างและรอบด้าน นอกจากนี้ควรมีการระบุ ประเภทและขนาดของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการด้วย

แนวทางดังกล่าวช่วยให้มั่นใจได้ว่าเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมดถูกพิจารณาอย่างครบถ้วน และสร้างความชัดเจนในการกำหนดและสื่อสารเหตุการณ์ที่จะถูกนำไปใช้ในขั้นตอนการวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อไป

การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis)

การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis) เป็นกระบวนการประเมิน ผลกระทบของเหตุการณ์ความเสี่ยง ความน่าจะเป็นในการเกิดขึ้น และสาเหตุ (Root Causes) ของความเสี่ยงนั้น ๆ

ในขั้นตอนนี้ควรใช้ การคิดแบบบรรจบ (Convergent Thinking) เพื่อมุ่งเน้นการประเมินและจำกัดความเป็นไปได้ให้แคบลง การวิเคราะห์สามารถพิจารณาได้ทั้ง กรณีเลวร้ายที่สุด (Worst-Case Scenario) และ กรณีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจริง (Probable Case Scenario)

เพื่อให้สามารถติดตามและทบทวนมาตรการจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการกำหนด ตัวชี้วัดความเสี่ยง (Key Risk Indicators: KRIs) ที่สะท้อนถึงสาเหตุของความเสี่ยง

การประเมินความเสี่ยง (Risk Evaluation)

การประเมินความเสี่ยง (Risk Evaluation) เป็นขั้นตอนที่นำข้อมูลจากการวิเคราะห์ความเสี่ยงมาผสมผสานกับ เกณฑ์การประเมินความเสี่ยง (Risk Criteria) โดยพิจารณาทั้งผลกระทบ (Impact) และความน่าจะเป็น (Likelihood) ตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อตัดสินใจระดับความเสี่ยง (Risk Level) ของแต่ละเหตุการณ์ความเสี่ยงประกอบด้วย:

  • ประเมินระดับผลกระทบ (Impact Level) ของแต่ละเหตุการณ์ความเสี่ยง
  • ประเมินระดับความน่าจะเป็น (Likelihood Level) ของแต่ละเหตุการณ์ความเสี่ยง

นำผลการประเมินมาจัดวางใน ตารางเมทริกซ์ความเสี่ยง (Risk Matrix / Risk Map) เพื่อแสดงระดับความเสี่ยงในเชิงภาพ ทำให้สื่อสารและทำความเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

กระบวนการประเมินความเสี่ยงของไออาร์พีซีอ้างอิงจากข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ความเสี่ยงและเกณฑ์การประเมินความเสี่ยงที่กำหนดไว้ โดยพิจารณาทั้งผลกระทบและโอกาสจากเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินงาน โดยผลกระทบจะถูกประเมินใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ (1) การเงินและการลงทุน (2) กระบวนการทางธุรกิจ (3) สุขภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม (4) ภาพลักษณ์องค์กร และ (5) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้ ยังมีการประเมินความน่าจะเป็นของการเกิดเหตุการณ์ (Likelihood) เพื่อกำหนดระดับความเสี่ยงโดยรวมอย่างเหมาะสม

เกณฑ์การประเมินความเสี่ยงดาวน์โหลด
(5) การจัดการความเสี่ยง

การเลือกประเภทของมาตรการต้องอาศัยการพิจารณาถึงความคุ้มค่าของมาตรการ ซึ่งหากมาตรการนั้นคุ้มค่าที่จะดำเนินการด้วยตนเอง แต่หากมาตรการนั้นไม่คุ้มค่าที่จะดำเนินงานด้วยตนเองอาจเลือกมาตรการถ่ายโอน และถ้ามาตรการไม่คุ้มค่าแม้จะเลือกถ่ายโอนความเสี่ยง แล้วจึงพิจารณามาตรการกำจัด คือการเลือกที่จะปรับเปลี่ยน หรือยกเลิกกลยุทธ์เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงตั้งแต่เริ่มต้น ตามตาราง

รูปแบบ
ความหมาย
เงื่อนไขในการพิจารณา

การประเมิน ระดับเป้าหมายของการลดความเสี่ยง (Assessing the Adequacy of Risk Treatment Measures)

หลังจากได้เลือกประเภทของมาตรการจัดการความเสี่ยงแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการประเมิน ระดับเป้าหมายของการลดความเสี่ยง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้องค์กรสามารถลดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เป้าหมายของการบริหารความเสี่ยง คือการลดความเสี่ยงลงสู่ระดับที่องค์กรยอมรับได้ (Acceptable Level) ส่วนความเสี่ยงที่เหลืออยู่ (Residual Risk) จะถูกประเมินโดยพิจารณาจากกลยุทธ์ที่เลือกใช้และประสิทธิผลที่คาดว่าจะได้รับจากมาตรการจัดการความเสี่ยงนั้น ๆ

การเตรียม และนําแผนมาตรการจัดการความเสี่ยงไปปฏิบัติ

การนำมาตรการจัดการความเสี่ยงไปปฏิบัติ จำเป็นต้องมีการเตรียมแผนงาน และทรัพยากรต่างๆ เช่น แผนปฏิบัติงาน แผนสำรอง แผนงบประมาณ และผู้รับผิดชอบความเสี่ยง ซึ่งการดำเนินการควรให้สอดคล้องไปกับแผนกลยุทธ์ การอนุมัติงบประมาณ และการรายงานผลการดำเนินงาน

(6) การติดตาม และทบทวน

การติดตาม และทบทวนการบริหารความเสี่ยงมีเป้าหมายในการสร้างความเชื่อมั่นต่อประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของมาตรการจัดการความเสี่ยงต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในการประเมิน และทบทวนมาตรการจัดการความเสี่ยงสามารถพิจารณาผ่านตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน (KPI) และตัวชี้วัดความเสี่ยง (KRI) โดยอาจพิจารณากำหนดตัวชี้วัดปัจจัยความสำเร็จ (KSI) ให้เหมาะสมกับขอบเขต และบริบทของความเสี่ยง

การนำตัวชี้วัดดังกล่าว มาประเมินร่วมกันจะสามารถทำให้ผู้ประเมินสามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล รวมถึงจุดที่ต้องทำการแก้ไข (Gap Closing) เพื่อให้มาตรการจัดการความเสี่ยงมีประสิทธิผล หรือประสิทธิภาพมากขึ้น

  • หากมาตรการจัดการความเสี่ยงสามารถป้องกัน หรือลดผลกระทบจากเหตุการณ์ความเสี่ยงได้ ตัวชี้วัดทั้งสามตัวควรแสดงผลลัพธ์ที่เป็นไปตามระดับเป้าหมาย (Target)
  • หากมาตรการจัดการความเสี่ยงไม่สามารถป้องกัน หรือลดผลกระทบจากเหตุการณ์ความเสี่ยงได้ตัวชี้วัดทั้งสามตัวควรแสดงผลลัพธ์ที่เป็นไปตามระดับแก้ไข (Threshold)

อย่างไรก็ดีตัวชี้วัดที่ดีควรเริ่มตำแหน่งในการวัดที่จุดเฝ้าระวัง (Trigger)

ไออาร์พีซีมีการติดตามความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งครอบคลุมถึงความเสี่ยงด้าน กลยุทธ์ ด้านปฏิบัติการ ด้านการเงิน ด้านกฎระเบียบ รวมถึงความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ตลอดจนความเสี่ยงเกิดใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในอนาคต โดยมีการประเมินความเสี่ยงอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นตามความจำเป็น เพื่อให้สามารถจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที

(7) การบันทึกและรายงาน

การบันทึก และการรายงานมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการสื่อสาร และให้คำปรึกษาตามขั้นตอน โดยการบริหารความเสี่ยงระดับองค์กร กำหนดให้มีการบันทึก และรายงานตามเอกสารทะเบียนความเสี่ยง ตามแผนภาพปฏิทินการรายงานการบริหารความเสี่ยงองค์กร

บริษัทฯ ดำเนินการทบทวนการบริหารความเสี่ยงเป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจว่ายังคงมีประสิทธิผลภายใต้สภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ พิจารณาจากเมื่อมาตรการบริหารความเสี่ยงมีประสิทธิผล ตัวชี้วัด (Indicators) จะแสดงผลลัพธ์ตามระดับเป้าหมาย หากมาตรการควบคุมความเสี่ยงมีประสิทธิภาพ ตัวชี้วัดจะแสดงผลลัพธ์ที่อยู่ในระดับเป้าหมาย แต่หากไม่เป็นไปตามนั้น ตัวชี้วัดจะสะท้อนผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับระดับขีดจำกัด โดยผลการติดตามจะถูกรายงานเป็นรายไตรมาสต่อคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน (RMCC) และคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (RMC)

การหาความสัมพันธ์ของความเสี่ยง

ใช้วิเคราะห์ความเสี่ยงโดยการหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสำคัญที่ก่อให้เกิดผลกระทบที่มีนัยสำคัญมากที่สุดต่อธุรกิจของไออาร์พีซี เช่น ความผันผวนของราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ซึ่งจัดเป็นความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ และอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยซึ่งจัดเป็นความเสี่ยงทางการเงิน เป็นต้น โดยข้อมูล 3 ปีย้อนหลังจะถูกนำมาวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงในอนาคต

ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ระบวนการกำหนดความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Appetite Process) เกี่ยวข้องกับการกำหนดและการบริหารระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ขององค์กร โดยมีการจัดทำคำชี้แจงความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Appetite Statement) ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท (BOD) เพื่อกำหนดขีดจำกัดของความเสี่ยงในแต่ละประเภทความเสี่ยงอย่างชัดเจน เช่น ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ การเงิน และกลยุทธ์ ซึ่งขีดจำกัดเหล่านี้จะถูกนำไปปฏิบัติผ่านการใช้ตัวชี้วัด ที่ช่วยชี้แนะแนวทางการตัดสินใจในทุกระดับขององค์กร ความเสี่ยงที่ยอมรับได้นี้จะถูกติดตามและรายงานอย่างต่อเนื่องในแต่ละหน่วยงาน พร้อมกับการทบทวนเป็นระยะเพื่อให้มั่นใจว่ายังคงสอดคล้องกับสภาพธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง ข้อกำหนดในการปฏิบัติตามกฎหมาย และเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ด้วยการกำหนดขีดจำกัดทั้งระดับสูงสุดและต่ำสุด ไออาร์พีซีจึงมั่นใจว่าความเสี่ยงจะถูกบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพภายในขอบเขตที่ยอมรับได้ ทำให้เกิดการส่งเสริมวัฒนธรรมความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร

แผนภาพด้านล่างแสดงถึงการแสดงความพร้อมรับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับหรือพอใจที่สามารถทำให้บริษัทฯ ยังคงบรรลุเป้าหมายได้ ไปจนถึงการสื่อสารให้ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องใน 4 กลุ่มความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ (strategic) ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ (operational) ความเสี่ยงทางการเงิน (financial) และความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนด (compliance)

แผนที่ความเสี่ยง

แผนที่ความเสี่ยงใช้เพื่อจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยความเสี่ยง โดยระดับความรุนแรงของความเสี่ยงจะพิจารณาจากทั้งโอกาสเกิดและผลกระทบ ซึ่งสอดคล้องกับขอบเขตความเสี่ยงของไออาร์พีซี โดยแบ่งระดับความเสี่ยงออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ความเสี่ยงต่ำ (สีเขียว) ความเสี่ยงปานกลาง (สีเหลือง) ความเสี่ยงสูง (สีส้ม) และความเสี่ยงรุนแรง (สีแดง) ปัจจัยความเสี่ยงที่ถูกระบุในระดับความเสี่ยงรุนแรงจะถูกกำหนดให้เป็นความเสี่ยงระดับองค์กร ซึ่งจะต้องมีการดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อบริหารความเสี่ยงตามกระบวนการบริหารความเสี่ยงองค์กร

การวิเคราะห์ความอ่อนไหวและทดสอบภาวะวิกฤต

สิ่งสำคัญสำหรับไออาร์พีซี คือ การจัดให้มีกระบวนการควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพและเข้มแข็ง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าองค์กรสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการกำกับดูแลความเสี่ยง ภายใต้กรอบการบริหารความเสี่ยงและวิกฤตที่ครอบคลุม ไออาร์พีซีได้นำเครื่องมือสำคัญอย่างการวิเคราะห์ความอ่อนไหว (Sensitivity Analysis) และการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Testing) มาใช้ในการประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ โดยการวิเคราะห์ความอ่อนไหวจะช่วยประเมินว่าการเปลี่ยนแปลงของสมมติฐานหลักส่งผลกระทบต่อระดับความเสี่ยงอย่างไร ในขณะที่การทดสอบภาวะวิกฤตจะช่วยประเมินความสามารถขององค์กรในการรับมือกับสถานการณ์ที่รุนแรงแต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง

การวิเคราะห์ความอ่อนไหวจากความเสี่ยงดาวน์โหลด

ไออาร์พีซีมุ่งมั่นในการบูรณาการการบริหารความเสี่ยงให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรอย่างแท้จริง ซึ่งหมายถึงการสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างคณะกรรมการบริษัท ผู้บริหาร และพนักงาน ถึงความสำคัญของการนำกรอบการบริหารความเสี่ยงที่เป็นมาตรฐานมาใช้ เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน คณะกรรมการบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน (RMCC) ร่วมกับคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (RMC) มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลการดำเนินงานตามกรอบดังกล่าว โดยคณะกรรมการทั้งสองชุดนี้ทำหน้าที่ทำให้มั่นใจว่าการบริหารความเสี่ยงได้ถูกนำไปปฏิบัติในทุกระดับขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นระดับกลยุทธ์ ระดับปฏิบัติการ หรือกิจกรรมประจำวัน ผ่านการติดตามความคืบหน้า ทบทวนแนวทางปฏิบัติ และส่งเสริมการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้ด้านความเสี่ยงในทุกระดับขององค์กร ไออาร์พีซีมีการสื่อสารประเด็นความเสี่ยงสำคัญผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การประชุมคณะกรรมการและฝ่ายบริหาร การประชุมระดับหน่วยงาน การจัด workshops e-learning และกิจกรรมสร้างการมีส่วนร่วมภายในองค์กร อาทิ ISPIRIT และ IRPC DNA

การให้ความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยง

  • การให้ความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอแก่กรรมการที่ไม่ใช่ผู้บริหาร: ไออาร์พีซีมีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็งในองค์กร โดยรวมถึงการจัดการให้ความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยงสำหรับกรรมการที่ไม่ใช่ผู้บริหารอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของคณะกรรมการในการกำกับดูแลความเสี่ยง ไออาร์พีซีจึงสนับสนุนให้กรรมการเข้าร่วมการฝึกอบรมเกี่ยวกับความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง กรรมการได้เข้าร่วมโปรแกรมที่ได้รับการรับรองจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เช่น Director Accreditation Program (DAP) Director Certification Program และการฝึกอบรมโดยสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors: IOD) นอกจากนี้ ไออาร์พีซียังมั่นใจว่ากรรมการและผู้บริหารจะได้รับข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับประเด็นความเสี่ยงใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย เทคโนโลยี และสภาพเศรษฐกิจอย่างอีกด้วย
  • การฝึกอบรมทั่วทั้งองค์กรเกี่ยวกับหลักการบริหารความเสี่ยง: ไออาร์พีซีมีการจัดการฝึกอบรมการบริหารความเสี่ยงระดับองค์กรเป็นประจำทุกปี โดยเน้นกลุ่มผู้จัดการความเสี่ยง (Risk Manager) ผู้รับผิดชอบความเสี่ยง (Risk Owner) และผู้ประสานงานการบริการความเสี่ยง (Risk Agent) จากหน่วยธุรกิจต่าง ๆ การฝึกอบรมนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้และปลูกฝังวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็งในองค์กร ดังนั้นเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมนี้ให้มั่นคงยิ่งขึ้น ไออาร์พีซีได้ริเริ่มการดำเนินงานในหลายโครงการ รวมถึงการจัดการฝึกอบรมความเสี่ยงที่บังคับสำหรับผู้จัดการความเสี่ยงในแต่ละแผนก การบูรณาการเกณฑ์ความเสี่ยงเข้ากับการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานประจำปี และการเชื่อมโยงผลการบริหารความเสี่ยงกับสิ่งจูงใจทางการเงินของผู้บริหาร นอกจากนี้ยังได้แต่งตั้งผู้แทนบริหารความเสี่ยง (ERM Ambassadors) และผู้ตรวจสอบการบริหารความเสี่ยง (ERM Auditors) เพื่อเฝ้าระวังการปฏิบัติงานและส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในหมู่พนักงาน รวมทั้งจัดให้มีการประเมินตนเองด้านการควบคุมความเสี่ยง (Risk Control Self-Assessment) สำหรับผู้บริหารทุกสองปี เพื่อประเมินความตระหนักรู้ด้านความเสี่ยงและการประยุกต์ใช้กรอบการบริหารความเสี่ยง

การบูรณาการกระบวนการบริหาร ความเสี่ยง

  • การบูรณาการเกณฑ์ความเสี่ยงเข้าสู่กระบวนการพัฒนาและอนุมัติผลิตภัณฑ์: ไออาร์พีซีได้บูรณาการการพิจารณาความเสี่ยงในทุกขั้นตอนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยตระหนักว่าการคำนวณความเสี่ยงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการประสบความสำเร็จในตลาด ความเสี่ยงจะได้รับการประเมินและจัดการตั้งแต่ช่วงแรกของกระบวนการเพื่อให้สามารถบรรเทาความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า ความเสี่ยงสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตลาด ได้แก่ ความเป็นไปได้ทางการค้า การยอมรับของลูกค้า ภาพรวมการแข่งขัน และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังพิจารณาความเสี่ยงด้านองค์กร เช่น สภาพคล่อง ความพร้อมของทรัพยากร ความสามารถในการบริหารโครงการ และความพร้อมทางเทคนิคและโลจิสติกส์ของคู่ค้าห่วงโซ่อุปทานและฝ่ายผลิต พนักงานของ IRPC มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันตลอดกระบวนการพัฒนาในการคัดเลือก ประเมิน และร่วมงานกับคู่ค้าเหล่านี้เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด
  • การบูรณาการเกณฑ์บริหารความเสี่ยงในการประเมินผลพนักงานโดยฝ่ายทรัพยากรบุคคล: ไออาร์พีซีบูรณาการเกณฑ์เฉพาะด้านการบริหารความเสี่ยงเข้ากับกระบวนการประเมินผลของฝ่ายทรัพยากรบุคคล เพื่อให้การประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานสะท้อนถึงทั้งผลลัพธ์ทางธุรกิจและพฤติกรรมที่ตระหนักถึงความเสี่ยง เกณฑ์เหล่านี้มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจนและสอดคล้องกับความรับผิดชอบของแต่ละบทบาท เพื่อให้ฝ่ายทรัพยากรบุคคลสามารถประเมินได้ว่าพนักงานมีความสามารถในการระบุ จัดการ และตอบสนองต่อความเสี่ยงในขอบเขตงานของตนได้ดีเพียงใด แนวทางนี้ช่วยระบุช่องว่างในการปฏิบัติงาน สนับสนุนการพัฒนาอย่างตรงจุด และส่งเสริมความรับผิดชอบ นอกจากนี้ ผลการปฏิบัติงานด้านความเสี่ยงยังเชื่อมโยงกับแรงจูงใจทางการเงิน เพื่อส่งเสริมแนวคิดการบริหารความเสี่ยงเชิงรุก ผ่านการบูรณาการดังกล่าว IRPC จึงสามารถส่งเสริมวัฒนธรรมด้านการบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็งในทุกระดับขององค์กร

การให้แรงจูงใจทาง การเงินที่บูรณาการตัวชี้วัดด้านการบริหารความเสี่ยง

การให้แรงจูงใจทางการเงินที่บูรณาการตัวชี้วัดด้านการบริหารความเสี่ยง

  • ผู้บริหารระดับสูง: การบริหารจัดการความเสี่ยงขององค์กรถูกเชื่อมโยงโดยตรงกับตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs) ของคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน (RMCC) และคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง (RMC) และส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แรงจูงใจทางการเงินจะผูกกับทั้งผลการดำเนินธุรกิจและผลการบริหารความเสี่ยง ซึ่งได้รับการประเมินผ่าน KPIs สมรรถนะ และพฤติกรรมที่พึงประสงค์ โดยใช้ระบบบริหารผลการปฏิบัติงาน (PMS)
  • ผู้บริหารระดับกลาง: แรงจูงใจทางการเงินยังเชื่อมโยงกับผลการดำเนินธุรกิจและการบริหารความเสี่ยงผ่าน KPIs สำหรับด้านที่ไม่ใช่การเงิน บริษัทฯ ได้ส่งเสริมวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มแข็งโดยปลูกฝังมุมมองที่ตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงให้กับพนักงานทุกระดับ โดยคาดหวังให้ผู้บริหารและพนักงานมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับระบบการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่ของตน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การรายงานและวัดผลความเสี่ยง

  • การรายงานความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทั่วทั้งองค์กร: ไออาร์พีซีดำเนินมาตรการหลากหลายเพื่อให้พนักงานทุกระดับสามารถรายงานความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างสะดวก อาทิ การจัดประชุมรายงานการจัดการความเสี่ยงประจำเดือน และการเปิดกล่องรับเรื่องร้องเรียนการทุจริต (IRPC Corruption Mailbox – ตู้ ปณ. 35) เพื่อรองรับการรายงานความเสี่ยงด้านทุจริต บริษัทฯ ยังส่งเสริมความปลอดภัยผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น Zero Accident, Process Safety Management (PSM) และ Zero Process Safety Events (PSE) รวมถึงการเผยแพร่ “บทเรียนจากเหตุการณ์จริง” (Lessons Learned) ให้พนักงานทุกคนเพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้ นอกจากนั้น ยังมีการตรวจสุขภาพและความปลอดภัยประจำวันผ่านแอปพลิเคชัน LINE เพื่อช่วยติดตามความเป็นอยู่ของพนักงานในแต่ละพื้นที่ พร้อมระบบแจ้งเตือนเมื่อพนักงานเข้าสู่พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการรายงานอย่างต่อเนื่อง พนักงานสามารถใช้ช่องทางร้องเรียน (whistleblowing mechanism) และช่องทางอื่น ๆ เพื่อรายงานถึงทีมบริหารความเสี่ยงขององค์กรได้อย่างสะดวก 
  • การจัดทำมาตรการเพื่อปรับปรุงการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง: ไออาร์พีซีส่งเสริมการพัฒนาการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นพนักงานทุกระดับอย่างเป็นระบบ ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากคณะกรรมการหรือผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับประเด็นความเสี่ยงซึ่งถูกหยิบยกขึ้นในการประชุมรายงานความเสี่ยง จะถูกสื่อสารต่อไปยังผู้จัดการความเสี่ยง เจ้าของความเสี่ยง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ไออาร์พีซียังได้ดำเนินกระบวนการ “ทบทวนเกณฑ์ความเสี่ยงตามสายงาน (Functional Risk Criteria Review Process)” ซึ่งส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการประเมินระดับการยอมรับความเสี่ยงและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมเชิงรุกในการปรับปรุงแนวปฏิบัติด้านการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร
  • การวัดประสิทธิผลของวัฒนธรรมด้านการบริหารความเสี่ยง: ไออาร์พีซีได้พัฒนา “I-Risk Program” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้านการบริหารความเสี่ยงและผลการดำเนินงาน (Performance and Risk Management) เพื่อสนับสนุนกระบวนการบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ แพลตฟอร์มนี้ช่วยสรุปข้อมูลในรูปแบบที่ส่งเสริมความโปร่งใสและทำให้เกิดพฤติกรรมการตอบสนองที่รวดเร็ว ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมด้านความเสี่ยงที่เข้มแข็ง I-Risk Application ช่วยให้ผู้ที่รับผิดชอบประเด็นความเสี่ยงสามารถระบุเหตุการณ์ความเสี่ยง วางแผนการจัดการ และรายงานต่อผู้บริหารได้อย่างต่อเนื่อง โดยมี Dashboard แสดงสถานะความเสี่ยงแบบเป็นปัจจุบัน (Real-Time) เพื่อให้สามารถติดตามและเฝ้าระวังการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้งานทุกระดับสามารถเข้าถึงข้อมูลความเสี่ยงที่เป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงการประชุมประจำไตรมาส

บริษัทฯ มีการวิเคราะห์บริบทต่าง ๆ จากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ที่มีแนวโน้วที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคตและอาจส่งผลกระทบกับบริษัทฯ ในระยะยาวช่วงประมาณ 3-5 ปีข้างหน้า เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม กฎหมาย เทคโนโลยี เป็นต้น เพื่อเตรียมการรับมือและแสวงหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยความเสี่ยงใหม่ที่สำคัญ ได้แก่

(1) ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ และนโยบายทางการค้า
(2) สนธิสัญญาระดับโลกว่าด้วยพลาสติกและนโยบายการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต
(3) กฎหมายและข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ

บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ จึงได้พัฒนาระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management: BCM) และจัดทำแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP) อย่างรอบด้าน ตามระบบ ISO 22301 ซึ่งได้รับการรับรองภายใต้ขอบเขตผลิตภัณฑ์โพลีโอเลฟินส์ ตั้งแต่ปี 2565

ระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) ครอบคลุมการรับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงหลากหลายประเภท ได้แก่ อุบัติภัยร้ายแรง, การพังทลายของโครงสร้าง, การรั่วไหลของสารเคมี, ภัยแล้ง, การก่อการร้าย, การประท้วง, การขาดแคลนวัตถุดิบ, การโจมตีทางไซเบอร์, การชำรุดของเครื่องจักร และการแพร่ระบาดของโรค นอกจากนี้ยังมีการดำเนินการ ประเมินผลกระทบทางธุรกิจ (Business Impact Assessment: BIA) และ การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) มีความทันสมัยและสามารถตอบสนองต่อความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตารางด้านล่าง แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของบริษัทในการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดการหยุดชะงักทางธุรกิจ โดยระบบครอบคลุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

จากเหตุการณ์ความเสี่ยงดังกล่าว จะดำเนินการประเมินผลกระทบทางธุรกิจและระดับความเสี่ยงของแต่ละสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อกำหนด และปรับปรุงแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ ในการป้องกันและรับมือให้รวดเร็ว ทันการณ์ และเหมาะสมกับสถานการณ์

บริษัทฯ ดำเนินการทดสอบและซ้อมแผน BCP อย่างสม่ำเสมอผ่านสถานการณ์จำลอง เพื่อประเมินประสิทธิภาพของแผนและทีมงานในการรับมือกับเหตุการณ์จริง รวมถึงการปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดำเนินการซ้อมผ่านโครงสร้างศูนย์บริหารภาวะวิกฤติและความต่อเนื่องทางธุรกิจ โดยมีประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมภาวะฉุกเฉิน ร่วมกับผู้บริหารระดับสูง เพื่อให้สามารถรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ และสร้างความมั่นคงให้กับองค์กรในทุกสถานการณ์

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถเลือกตั้งคำยินยอมการใช้คุกกี้ได้โดยคลิก “การตั้งค่าคุกกี้” การตั้งค่าคุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ประเภทจำเป็นถาวร (Strictly Neccessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้เหล่านี้คือคุกกี้ที่มีความจำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้ และให้ท่านใช้คุณสมบัติต่างๆในเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์/เพื่อประสิทธิภาพ (Analytical/Performance Cookies)

    คุกกี้เหล่านี้สามารถเก็บรวบรวมพฤติกรรมในการเยี่ยมชมเว็บไซต์ รวมถึงรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับวิธีการเข้าถึงและพฤติกรรมการเยี่ยมชมเว็บไซต์ของท่าน ซึ่งจะช่วยให้ท่านสามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย และช่วยให้เราเข้าใจถึงความสนใจของท่าน อีกทั้งยังสามารถวัดความมีประสิทธิผลของโฆษณาของเรา

Save